ประกอบกับผลการติดตามรายงานการใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่อดีตจนถึงปลายปี 2562 จากจำนวนกว่าล้านๆโดส พบอาการข้างเคียงที่รุนแรงภายหลังการฉีดวัคซีนไม่ถึงร้อยละ3 โดยเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณรับการฉีด ปวดศรีษะและเป็นลมเท่านั้นซึ่งรวมถึงในต่างประเทศที่พบว่ามีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจำนวน 2 คน เสียชีวิตแต่เมื่อตรวจชันสูตรพลิกศพพบว่าวัคซีนไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิต
ผศ.นพ.สัญญา ยังกล่าวอีกว่าตามข้อปฏิบัติของการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะไม่ฉีดให้กับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และผู้มีอาการป่วย เนื่องจากจะเกิดความซับซ้อนต่อการแยกภาวะโรคที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ว่ามีภาวะอื่นแทรกซ้อนและอันตรายอยู่หรือไม่ ซึ่งรวมถึงเด็กนักเรียนรายนี้ที่มีอาการแน่หน้าอกและอาเจียนร่วมด้วย โดยตามทฤษฎีภาวะการแพ้ต่อสารประกอบในวัคซีนสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น ผู้มีประวัติแพ้ยีสต์ จึงไม่แนะนำให้ผู้แพ้สารประกอบในวัคซีนได้รับการฉีดป้องกันโรค แต่โอกาสจะพบว่าเกิดการแพ้ต่อสารในวัคซีนหรือวัคซีนจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตถือว่าเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นในกรณีเด็กนักเรียนรายนี้ หากพ่อแม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตจึงควรมีการส่งศพตรวจชันสูตรอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
สำหรับการใช้วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในไทยขณะนี้มีอยู่ 2 ชนิดเพื่อใช้ในการป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการก่อโรคมะเร็งปากมดลูก โดยองค์การอนามัยโลกยังคงแนะนำให้ใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในกลุ่มเด็กอายุประมาณ 11 ปีขึ้นไปก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกและในรายงานการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กวัยรุ่นเพศหญิงอายุ 11 ปีขึ้นไปในสหรัฐอเมริกายังคงพบว่าให้ผลดีสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ผลถึงร้อยละ 85
"ป้องกัน" - Google News
August 30, 2020 at 11:28PM
https://ift.tt/3hPtWMc
แพทย์รามาฯ เผยวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกอาจไม่ใช่สาเหตุเด็ก 11 ปี เสียชีวิต - ช่อง 7
"ป้องกัน" - Google News
https://ift.tt/3abF4OL
Home To Blog
No comments:
Post a Comment